การแบ่งปันอำนาจสังคมไทย(การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองจริงหรือ)
สังคมไทยเป็นสังคมของการแบ่งปันอำนาจ โดยแบ่งอำนาจเป็น
กลุ่มแรก อำนาจนายทุน เติบโตมาแต่ในอดีตมีความแข็งแกร่งในด้านทุน เศรษฐกิจ ของสังคมไทย เป็นอำนาจที่แอบอิงอยู่กับนักการเมืองและทหารขึ้นอยู่กับแต่ละยุคแต่ละสมัย กลุ่มที่สอง อำนาจเก่า เป็นอำนาจของผู้ที่เคยอยู่ในกลุ่มอำมาตย์ กลุ่มโครงสร้างเก่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็นนายทหารเก่า ชนชั้นสูงหรือผู้นำในอดีต
กลุ่มที่สาม เป็นของนักการเมือง ซึ่งแล้วแต่ยุคสมัยว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล
กลุ่มสุดท้าย เป็นอำนาจที่ใหญ่ในสังคมไทยคืออำนาจทหาร ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ อำนาจทหารเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่และมีกำลัง โดยมีสามอำนาจแรกมาแอบอิงอยู่โดยตลอด
สังคมไทยแบ่งปันอำนาจกันอย่างมีความสุขอาจจะพบว่ามีบางครั้งบางคราที่มีอำนาจประชาชนเข้ามาบ้างแต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วคราวในบางขณะเท่านั้น เป็นระยะเวลาสั้นๆ เหตุที่ผมต้องพูดถึงเรื่องอำนาจ เพราะว่าการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.54 บรรดานักการเมืองที่รวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลอาจจะไม่สามารถดำเนินการไปได้เรียบร้อย หากไม่ได้ปรึกษาหารือหรือให้ความสำคัญกับอำนาจอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทหาร จริงอยู่ที่ผู้นำทางทหารมักพูดอยู่บ่อยๆว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ทหารทำหน้าที่ปกป้องประเทศไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่การเมืองไทยก็ยังต้องพึ่งอำนาจทหารมาโดยตลอดอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ ยกเว้นในช่วงที่ทักษิณ ครองอำนาจ และก็เป็นทหารอีกนั่นแหละที่ทำให้ทักษิณออกไปจากอำนาจของสังคมไทย
ทักษิณ ชินวัตร เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าเขาทำให้ดุลอำนาจของแต่ละกลุ่มในสังคมไทยสูญเสียไป
อำนาจนายทุน ถูกทักษิณ รวบรวมไปอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันทุนต่างๆล้วนขึ้นอยู่กับทักษิณ แม้แต่ทักษิณก็เป็นนายทุนลำดับต้นๆรวยขนาดแสนล้าน
อำนาจเก่า ถูกทักษิณละเลยไม่ให้ความสำคัญ
อำนาจนักการเมือง ถูกทักษิณ ควบไปอยู่ในพรรคไทยรักไทย
อำนาจทหาร ถูกทักษิณ ควบคุมแม้กระทั่งให้ญาติผู้พี่ผู้น้องขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
เมื่อสังคมไทยที่มีการแบ่งปันอำนาจมาแต่ดั้งเดิมถูกทักษิณ ชินวัตร รวบอำนาจอยู่ในคนๆเดียว สังคมไทยเกิดการต่อต้านและในวันหนึ่งที่ทักษิณ มีอำนาจมากที่สุด ทุกถนนมุ่งไปสู่ทักษิณ ชินวัตร แล้ววันหนึ่งทักษิณ สะดุดขาตัวเองด้วยคดีซุกหุ้นและเลี่ยงการจ่ายภาษี สังคมตื่นตระหนก และหลังจากนั้นระบอบทักษิณก็ล่มสลายทุกๆอำนาจทุกๆกลุ่มต่างดึงอำนาจไปหาตัวเอง และรุมสะกำทักษิณอย่างไม่ปราณีปราศรัย
ทักษิณ ชินวัตร เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าเขาทำให้ดุลอำนาจของแต่ละกลุ่มในสังคมไทยสูญเสียไป
อำนาจนายทุน ถูกทักษิณ รวบรวมไปอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันทุนต่างๆล้วนขึ้นอยู่กับทักษิณ แม้แต่ทักษิณก็เป็นนายทุนลำดับต้นๆรวยขนาดแสนล้าน
อำนาจเก่า ถูกทักษิณละเลยไม่ให้ความสำคัญ
อำนาจนักการเมือง ถูกทักษิณ ควบไปอยู่ในพรรคไทยรักไทย
อำนาจทหาร ถูกทักษิณ ควบคุมแม้กระทั่งให้ญาติผู้พี่ผู้น้องขึ้นเป็น ผบ.ทบ.
เมื่อสังคมไทยที่มีการแบ่งปันอำนาจมาแต่ดั้งเดิมถูกทักษิณ ชินวัตร รวบอำนาจอยู่ในคนๆเดียว สังคมไทยเกิดการต่อต้านและในวันหนึ่งที่ทักษิณ มีอำนาจมากที่สุด ทุกถนนมุ่งไปสู่ทักษิณ ชินวัตร แล้ววันหนึ่งทักษิณ สะดุดขาตัวเองด้วยคดีซุกหุ้นและเลี่ยงการจ่ายภาษี สังคมตื่นตระหนก และหลังจากนั้นระบอบทักษิณก็ล่มสลายทุกๆอำนาจทุกๆกลุ่มต่างดึงอำนาจไปหาตัวเอง และรุมสะกำทักษิณอย่างไม่ปราณีปราศรัย
ทักษิณ ถึงเวลาต้องจ่ายคืนและผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงวันนั้นแน่นอนคืออำนาจทหาร ซึ่งเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มั่นคงและมีพลังยิ่งในสังคมไทยแต่ดั้งเดิม
วันนี้ทักษิณ เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เขาเรียนรู้ว่าต้องสมานประโยชน์ในอำนาจของสังคมไทยอย่างไร เขาเรียนรู้ว่าวันที่ 3 ก.ค. หากเขาได้คะแนนเสียงเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ใครในสังคมไทยที่เขาต้องไปคุยด้วย ประสบการณ์ในอดีตได้สอนให้เขารู้จักโครงสร้างการแบ่งปันอำนาจในสังคมไทย เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าถ้าเขาละเลยกลุ่มอำนาจ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยเขาก็จะถูกปฏิวัติ ถูกบอยคอต ถูกกีดกัน หรือแม้กระทั่งถูกยัดเยียดในหลายๆข้อหา
ผมเชื่อและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าวันนี้ คุณทักษิณ ได้ประสานกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆเหล่านั้นไว้แล้ว ความพยายามของพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจากทักษิณ ชินวัตร ที่จะเป็นรัฐบาลหลังวันที่ 3 ก.ค.54 นี้ จะต้องรับการฉันทานุมัติหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับกลุ่มอื่นๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่บอกว่า
“ยังไม่ได้คุยกับทหาร การเมืองคือการเมือง ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง” คนที่พูดประโยคนี้คงจะคิดว่าประชาชนรู้ไม่เท่าทัน คนอย่างชูวิทย์ สอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลา ใกล้ถึงวันเลือกตั้งและเห็นรำไรๆ อยู่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเป็นส่วนมาก มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคู่แข่งยิ่งต้องทำให้คุณทักษิณ ประสานผลประโยชน์ของกลุ่มๆ ในโครงสร้างของสังคมไทยอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะจัดตั้งรัฐบาล
ที่นี่คุณเชื่อรึยังว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วเกิดไม่ได้คุยกับทหารมาก่อน โดยดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลไปเลยและไม่สนใจอำนาจทหาร คุณคิดว่าการเมืองต้องแก้ไขด้วยการเมือง ทหารไม่เกี่ยวข้อง หากคุณทักษิณ เชื่อแบบนั้นก็คงจะต้องถูกปฏิวัติอีก
“ยังไม่ได้คุยกับทหาร การเมืองคือการเมือง ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง” คนที่พูดประโยคนี้คงจะคิดว่าประชาชนรู้ไม่เท่าทัน คนอย่างชูวิทย์ สอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลา ใกล้ถึงวันเลือกตั้งและเห็นรำไรๆ อยู่ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเป็นส่วนมาก มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นคู่แข่งยิ่งต้องทำให้คุณทักษิณ ประสานผลประโยชน์ของกลุ่มๆ ในโครงสร้างของสังคมไทยอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะจัดตั้งรัฐบาล
ที่นี่คุณเชื่อรึยังว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วเกิดไม่ได้คุยกับทหารมาก่อน โดยดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลไปเลยและไม่สนใจอำนาจทหาร คุณคิดว่าการเมืองต้องแก้ไขด้วยการเมือง ทหารไม่เกี่ยวข้อง หากคุณทักษิณ เชื่อแบบนั้นก็คงจะต้องถูกปฏิวัติอีก
http://www.rakthailandparty.com/?p=1880วันนี้คุณเชื่อหรือไม่ว่าทักษิณ
คุยกับกลุ่มทุนต่างๆ
คุยกับพรรคร่วม เช่นบรรหาร สุวัจน์
คุยกับ ผบ.ทบ. หรือแม้กระทั่งคุยกับ พล.อ.เปรม
การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ทหารมีหน้าที่แค่ดูแลประเทศจริงหรือ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น